logo-ภัยธรรมชาติ-wh

มารู้จักภัยธรรมชาติกัน

ภัยธรรมชาติ (Natural Disaster) หมายถึง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองโดยที่มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ก่อ และส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ พายุ ภูเขาไฟระเบิด ดินถล่ม ไฟป่า และภัยแล้ง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเอง เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ระบบนิเวศ หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก

สารบัญ

ประเภทของภัยธรรมชาติ

1. อุทกภัย

อุทกภัย หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า น้ำท่วม หมายถึง ภัยธรรมชาติที่เกิดจากการสะสมของน้ำปริมาณมากอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำล้นตลิ่งหรือไหลเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตรกรรม หรือเขตเศรษฐกิจ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน พายุฤดูร้อน พายุไต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน น้ำทะเลหนุนสูง หรือเขื่อนแตกและการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด เป็นต้น

อุทกภัยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ ได้แก่

  • น้ำท่วมฉับพลัน (Flash Flood) เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่วนใหญ่เกิดในพื้นที่ภูเขาหรือพื้นที่ลาดชัน น้ำจะมาเร็วมาก ทำให้เตรียมตัวไม่ทัน
  • น้ำท่วมขัง (Stagnant Flood) เกิดในพื้นที่ราบลุ่มต่ำ น้ำท่วมขังนาน และน้ำลดช้า มักเกิดขึ้นในเขตเมืองหรือพื้นที่เกษตรกรรมที่การระบายน้ำไม่ดี
  • น้ำป่าไหลหลาก (Wild Flood) เกิดจากน้ำฝนจำนวนมากบนภูเขาไหลลงสู่ที่ราบอย่างรวดเร็ว น้ำมีความแรงมาก และสร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง

ผลกระทบจากอุทกภัย

1. ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพ

  • เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกระแสน้ำเชี่ยวกราก
  • โรคที่มากับน้ำ เช่น โรคน้ำกัดเท้า โรคฉี่หนู โรคอุจจาระร่วง โรคตาแดง โรคทางเดินหายใจ และโรคผิวหนังต่างๆ
  • ปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า จากความสูญเสียทรัพย์สินหรือญาติมิตร

2. ผลกระทบต่อทรัพย์สิน

  • บ้านเรือน อาคาร สิ่งปลูกสร้างเสียหายหรือพังทลาย
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้อีก
  • ยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เสียหายจากการจมน้ำ

3. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

  • ธุรกิจและร้านค้าปิดทำการ ส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการและลูกจ้าง
  • พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วม พืชผลเสียหายอย่างหนัก ทำให้เกษตรกรขาดรายได้ และอาจส่งผลให้ราคาอาหารสูงขึ้น
  • ระบบขนส่งถูกตัดขาด สินค้าอุปโภคบริโภคขาดแคลนหรือราคาสูงขึ้น

4. ผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ

  • ระบบไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และสัญญาณสื่อสารขัดข้องหรือหยุดชะงัก
  • ถนน สะพาน เส้นทางคมนาคมพังเสียหาย ทำให้การช่วยเหลือและการขนส่งเป็นไปได้ยาก

5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • ขยะและสารเคมีปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำ ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ
  • สัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าล้มตายจากกระแสน้ำเชี่ยวหรือถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อผู้คนอพยพหนีน้ำ

แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดอุทกภัย

ก่อนเกิดน้ำท่วม

  • ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ เพื่อรับรู้สถานการณ์น้ำอย่างทันท่วงที
  • จัดเตรียมอุปกรณ์ยังชีพ เช่น น้ำดื่มสะอาด อาหารแห้ง ยารักษาโรค ไฟฉาย วิทยุ แบตเตอรี่สำรอง โทรศัพท์มือถือ และเงินสด
  • จัดทำแผนอพยพ โดยระบุจุดรวมพล เส้นทางอพยพ และสถานที่พักพิงที่ปลอดภัยชัดเจน
  • เคลื่อนย้ายทรัพย์สินสำคัญ เอกสารสำคัญ อุปกรณ์ไฟฟ้า และสิ่งของมีค่าขึ้นที่สูง
  • สำรวจเส้นทางและระบบไฟฟ้าในบ้าน ป้องกันไฟฟ้าดูดหรือไฟฟ้าลัดวงจร

ขณะเกิดน้ำท่วม

  • อพยพไปยังที่สูงโดยเร็ว อย่ารอน้ำขึ้นสูงมากเกินไป เพราะอาจสายเกินไปที่จะเคลื่อนย้าย
  • หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ เพราะอาจถูกกระแสน้ำพัดไปหรือตกหลุม ตกท่อ รวมถึงอาจถูกไฟฟ้าดูดจากสายไฟฟ้าที่จมน้ำ
  • งดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและปิดสวิตช์ไฟทั้งหมด เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟไหม้
  • งดเดินทางโดยยานพาหนะ ผ่านเส้นทางที่น้ำท่วมขังสูง เพราะเสี่ยงต่อการถูกกระแสน้ำพัดรถจมน้ำ

หลังน้ำท่วมลดลง

  • สำรวจความเสียหายด้วยความระมัดระวัง ระวังสัตว์มีพิษหรืออันตรายจากเศษวัสดุที่ถูกน้ำพัดพามา
  • ทำความสะอาดบ้านเรือนและบริเวณโดยรอบ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย
  • ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและประปาก่อนใช้งาน หากพบความผิดปกติควรแจ้งช่างหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
  • ระวังโรคภัยที่มากับน้ำท่วม ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี หากเจ็บป่วยควรพบแพทย์ทันที

2. วาตภัย

วาตภัย คือ ภัยธรรมชาติที่เกิดจากลมพายุพัดแรงและรุนแรงผิดปกติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน โดยทั่วไปจะรวมถึงพายุชนิดต่างๆ เช่น พายุหมุนเขตร้อน (ไต้ฝุ่น เฮอริเคน ไซโคลน) พายุฤดูร้อน (พายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตก) และพายุทอร์นาโด (พายุงวงช้าง) ซึ่งลมที่มีความรุนแรงมากนี้ สามารถทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงได้ในระยะเวลาอันสั้น

ผลกระทบจากวายภัย

1. ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพ

  • เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกระแสน้ำเชี่ยวกราก
  • โรคที่มากับน้ำ เช่น โรคน้ำกัดเท้า โรคฉี่หนู โรคอุจจาระร่วง โรคตาแดง โรคทางเดินหายใจ และโรคผิวหนังต่างๆ
  • ปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า จากความสูญเสียทรัพย์สินหรือญาติมิตร

2. ผลกระทบต่อทรัพย์สิน

  • บ้านเรือน อาคาร สิ่งปลูกสร้างเสียหายหรือพังทลาย
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้อีก
  • ยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เสียหายจากการจมน้ำ

3. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

  • ธุรกิจและร้านค้าปิดทำการ ส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการและลูกจ้าง
  • พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วม พืชผลเสียหายอย่างหนัก ทำให้เกษตรกรขาดรายได้ และอาจส่งผลให้ราคาอาหารสูงขึ้น
  • ระบบขนส่งถูกตัดขาด สินค้าอุปโภคบริโภคขาดแคลนหรือราคาสูงขึ้น

4. ผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ

  • ระบบไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และสัญญาณสื่อสารขัดข้องหรือหยุดชะงัก
  • ถนน สะพาน เส้นทางคมนาคมพังเสียหาย ทำให้การช่วยเหลือและการขนส่งเป็นไปได้ยาก

5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • ขยะและสารเคมีปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำ ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ
  • สัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าล้มตายจากกระแสน้ำเชี่ยวหรือถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อผู้คนอพยพหนีน้ำ

แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดวาตภัย

แนวทางปฏิบัติก่อนเกิดวาตภัย

  • ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ เพื่อรับรู้สถานการณ์น้ำอย่างทันท่วงที
  • จัดเตรียมอุปกรณ์ยังชีพ เช่น น้ำดื่มสะอาด อาหารแห้ง ยารักษาโรค ไฟฉาย วิทยุ แบตเตอรี่สำรอง โทรศัพท์มือถือ และเงินสด
  • จัดทำแผนอพยพ โดยระบุจุดรวมพล เส้นทางอพยพ และสถานที่พักพิงที่ปลอดภัยชัดเจน
  • เคลื่อนย้ายทรัพย์สินสำคัญ เอกสารสำคัญ อุปกรณ์ไฟฟ้า และสิ่งของมีค่าขึ้นที่สูง
  • สำรวจเส้นทางและระบบไฟฟ้าในบ้าน ป้องกันไฟฟ้าดูดหรือไฟฟ้าลัดวงจร

แนวทางปฏิบัติขณะเกิดวาตภัย

  • อพยพไปยังที่สูงโดยเร็ว อย่ารอน้ำขึ้นสูงมากเกินไป เพราะอาจสายเกินไปที่จะเคลื่อนย้าย
  • หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ เพราะอาจถูกกระแสน้ำพัดไปหรือตกหลุม ตกท่อ รวมถึงอาจถูกไฟฟ้าดูดจากสายไฟฟ้าที่จมน้ำ
  • งดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและปิดสวิตช์ไฟทั้งหมด เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟไหม้
  • งดเดินทางโดยยานพาหนะ ผ่านเส้นทางที่น้ำท่วมขังสูง เพราะเสี่ยงต่อการถูกกระแสน้ำพัดรถจมน้ำ

แนวทางปฏิบัติหลังเกิดวาตภัย

  • สำรวจความเสียหายด้วยความระมัดระวัง ระวังสัตว์มีพิษหรืออันตรายจากเศษวัสดุที่ถูกน้ำพัดพามา
  • ทำความสะอาดบ้านเรือนและบริเวณโดยรอบ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย
  • ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและประปาก่อนใช้งาน หากพบความผิดปกติควรแจ้งช่างหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
  • ระวังโรคภัยที่มากับน้ำท่วม ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี หากเจ็บป่วยควรพบแพทย์ทันที

3. พายุฝนฟ้าคะนอง

พายุฝนฟ้าคะนอง คือ สภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดจากกลุ่มเมฆฝน (เมฆคิวมูโลนิมบัส – Cumulonimbus Clouds) ซึ่งจะมาพร้อมกับฝนตกหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า ลมกระโชกแรง รวมถึงอาจมีลูกเห็บตกด้วยในบางครั้ง โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นในฤดูร้อน หรือช่วงที่มีอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ โดยเฉพาะบริเวณที่โล่งแจ้ง พื้นที่เกษตรกรรม หรือเขตชุมชนที่มีสิ่งปลูกสร้างไม่แข็งแรง

ลักษณะสำคัญของพายุฝนฟ้าคะนอง

  • ฝนตกหนัก ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำขังในพื้นที่ต่ำ
  • ฟ้าแลบและฟ้าร้อง เกิดจากประจุไฟฟ้าภายในก้อนเมฆ มีเสียงดังกึกก้อง อาจสร้างความตื่นตกใจได้
  • ฟ้าผ่า เป็นกระแสไฟฟ้าจากก้อนเมฆลงสู่พื้นดิน ซึ่งอันตรายมาก อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตได้ทันที
  • ลมกระโชกแรง อาจทำให้หลังคาบ้านปลิว ต้นไม้หักโค่น เสาไฟฟ้าหักล้มลงมา
  • ลูกเห็บ บางครั้งจะมีลูกเห็บตกลงมา ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย เช่น หลังคาบ้าน รถยนต์ หรือพืชผลทางการเกษตร

ผลกระทบจากพายุฝนฟ้าคะนอง

1. ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพ

  • บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการถูกฟ้าผ่า
  • ได้รับอันตรายจากสิ่งของที่ถูกลมพัดหรือปลิวกระแทก
  • เสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางถนน จากทัศนวิสัยที่ลดลงจากฝนตกหนัก
  • เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหวัด โรคปอดบวม จากการเปียกฝนเป็นเวลานาน

2. ผลกระทบต่อทรัพย์สิน

  • บ้านเรือน อาคาร และสิ่งปลูกสร้างเสียหายจากลมแรง หลังคาปลิว ต้นไม้ล้มทับบ้าน
  • รถยนต์หรือยานพาหนะเสียหายจากลูกเห็บหรือต้นไม้ล้มทับ
  • พืชผลทางการเกษตรเสียหายรุนแรงจากลมแรง ฝนตกหนัก และลูกเห็บ
  • อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายจากฟ้าผ่าหรือไฟฟ้าลัดวงจร

3. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

  • ธุรกิจการค้าต้องหยุดชะงัก หรือหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว
  • เกษตรกรขาดทุนจากพืชผลเสียหาย ผลผลิตลดลง ทำให้รายได้ลดลงอย่างมาก
  • ค่าซ่อมแซมอาคารสถานที่ สิ่งปลูกสร้าง หรือทรัพย์สินที่เสียหายมีจำนวนมาก
  • การเดินทางและการขนส่งชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจ

4. ผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ

  • ไฟฟ้าดับจากเสาไฟฟ้าหักโค่นหรือสายไฟขาด ทำให้ชุมชนขาดแคลนไฟฟ้าใช้
  • ระบบประปาขัดข้องหรือหยุดชะงัก
  • ระบบสื่อสาร โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตขัดข้องจากฟ้าผ่าหรือเสาอากาศหักล้ม
  • ถนนหรือเส้นทางคมนาคมเสียหายจากน้ำท่วมขัง ต้นไม้ล้มกีดขวาง ทำให้สัญจรลำบาก

5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • ต้นไม้ใหญ่หักล้มจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ
  • ขยะและเศษวัสดุกระจายไปทั่ว ทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
  • แหล่งน้ำปนเปื้อนจากสิ่งปฏิกูลที่ถูกน้ำพัดพามาในช่วงพายุ
  • สัตว์ป่าหรือสัตว์เลี้ยงล้มตายหรือได้รับบาดเจ็บจากลมแรงและฟ้าผ่า

แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง

แนวทางปฏิบัติก่อนเกิดวาตภัย

  • ติดตามการพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างสม่ำเสมอ
  • สำรวจและซ่อมแซมบ้านเรือนให้แข็งแรง ตรวจสอบหลังคา หน้าต่าง ประตู
  • ตัดแต่งต้นไม้ใกล้บ้านให้เรียบร้อย ไม่ให้มีความเสี่ยงที่จะล้มทับบ้าน
  • ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าสำคัญ ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรจากฟ้าผ่า
  • เตรียมไฟฉาย วิทยุแบตเตอรี่สำรอง ยารักษาโรค และสิ่งของจำเป็นไว้ให้พร้อม

แนวทางปฏิบัติขณะเกิดวาตภัย

  • อยู่ภายในอาคารที่มั่นคง ปิดประตู หน้าต่างให้สนิท หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ประตู หน้าต่าง หรือผนังกระจก
  • งดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น โทรศัพท์มือถือที่เสียบชาร์จไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากฟ้าผ่า
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำ หรือล้างมือด้วยน้ำประปาในช่วงฟ้าผ่า
  • ไม่ควรอยู่ใต้ต้นไม้สูง หรือพื้นที่โล่งแจ้ง หากอยู่กลางแจ้ง ให้รีบเข้าไปหลบในที่ปลอดภัย เช่น อาคาร หรือรถยนต์ทันที
  • หากขับรถให้จอดในที่ปลอดภัย ไม่ควรขับฝ่าพายุหรือผ่านบริเวณน้ำท่วมสูง

แนวทางปฏิบัติหลังเกิดวาตภัย

  • สำรวจความเสียหายรอบบ้านอย่างระมัดระวัง ระวังสายไฟขาดหรืออันตรายจากไฟฟ้าดูด
  • หากพบความเสียหายต่อระบบไฟฟ้า ประปา สื่อสาร ควรรีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
  • ระมัดระวังสัตว์มีพิษหรือสัตว์เลื้อยคลานที่หนีน้ำมาอาศัยอยู่บริเวณบ้าน
  • รีบทำความสะอาดและกำจัดน้ำขังเพื่อป้องกันแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและโรคที่มากับน้ำขัง
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง สวมใส่เสื้อผ้าแห้งสะอาด เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป

4. ไฟป่า

ไฟป่า คือ ภัยธรรมชาติที่เกิดจากการลุกไหม้ของไฟในพื้นที่ป่าไม้หรือพื้นที่ธรรมชาติที่มีต้นไม้หรือพืชพรรณขึ้นหนาแน่น โดยทั่วไปมักเกิดในช่วงฤดูแล้งหรือฤดูร้อนที่มีอากาศแห้งและอุณหภูมิสูงต่อเนื่องหลายวัน ส่งผลให้พืชแห้งแล้งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้ไฟลุกลามได้อย่างรวดเร็วและควบคุมได้ยาก ไฟป่าสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุทางธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า หรือเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การเผาป่าเพื่อทำการเกษตรหรือเกิดจากความประมาทของมนุษย์เอง

สาเหตุหลักของการเกิดไฟป่า

ไฟป่ามักเกิดจากสาเหตุหลักๆ ดังนี้

  • จากธรรมชาติ
    • ฟ้าผ่าในช่วงที่สภาพอากาศร้อนจัด และแล้งจัด
    • ความร้อนสะสมของอากาศที่มีอุณหภูมิสูงมากติดต่อกันหลายวัน
  • จากมนุษย์
    • การเผาป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำกินทางการเกษตร
    • การจุดไฟในป่า เช่น ก่อกองไฟในขณะเดินป่า ล่าสัตว์
    • ความประมาทในการทิ้งก้นบุหรี่ในป่า หรือขวดแก้วที่สะท้อนแสงทำให้เกิดไฟ

ผลกระทบจากไฟป่า

1. ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพ

  • บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการถูกไฟคลอกหรือสูดดมควันพิษจำนวนมาก
  • ระบบทางเดินหายใจได้รับผลกระทบจากฝุ่นควัน เช่น โรคหอบหืด โรคปอด โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง
  • ปัญหาสุขภาพจิต เช่น เครียด ซึมเศร้า จากการสูญเสียบ้านเรือนหรือทรัพย์สิน

2. ผลกระทบต่อทรัพย์สิน

  • บ้านเรือน อาคาร และสิ่งปลูกสร้างถูกไฟไหม้เสียหายอย่างหนัก
  • ทรัพย์สินอื่นๆ เช่น รถยนต์ ยานพาหนะ เครื่องมือการเกษตร ถูกเผาทำลาย
  • พื้นที่เกษตรกรรมและพืชผลทางการเกษตรเสียหาย เกิดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจชุมชนอย่างมาก

3. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

  • การท่องเที่ยวหยุดชะงัก โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
  • เกษตรกรสูญเสียรายได้จากพื้นที่เพาะปลูกที่เสียหายจากไฟ
  • งบประมาณจำนวนมากถูกใช้ไปกับการดับไฟและฟื้นฟูป่าที่เสียหาย

4. ผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ

  • ไฟป่าลุกลามเข้าใกล้ชุมชนอาจทำลายระบบไฟฟ้า เสาไฟฟ้าล้ม ทำให้ไฟฟ้าดับ
  • ระบบน้ำประปาเสียหายจากการถูกไฟไหม้หรือการปนเปื้อนจากเถ้าถ่าน
  • เส้นทางคมนาคมถูกปิดกั้นหรือเสียหายจากการเผาไหม้ของต้นไม้ขนาดใหญ่

5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • พื้นที่ป่าไม้เสียหายหนัก ระบบนิเวศถูกทำลายทั้งพืชและสัตว์ป่าจำนวนมาก
  • สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงสูญหายหรือล้มตายจากไฟและควันไฟ
  • คุณภาพอากาศแย่ลงจากควันพิษและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ส่งผลเสียต่อสุขภาพประชาชนเป็นวงกว้าง
  • สภาพดินเสื่อมโทรมเนื่องจากการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ไปกับไฟป่า

แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดไฟป่า

แนวทางปฏิบัติก่อนเกิดไฟป่า

  • ติดตามข่าวสารและประกาศเตือนภัยไฟป่าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • ไม่จุดไฟหรือเผาป่าโดยเด็ดขาด และแจ้งหน่วยงานทันทีเมื่อพบเห็นการเผาป่า
  • จัดทำแนวกันไฟบริเวณรอบบ้านเรือน หรือพื้นที่การเกษตร
  • เตรียมแผนอพยพฉุกเฉิน และจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น หน้ากากกันฝุ่น น้ำดื่ม ยารักษาโรค เอกสารสำคัญไว้ให้พร้อม
  • สำรวจระบบน้ำสำรอง และอุปกรณ์ดับเพลิงไว้ใช้งานในกรณีฉุกเฉิน

แนวทางปฏิบัติขณะเกิดไฟป่า

  • อพยพออกจากพื้นที่ที่มีไฟไหม้โดยเร็วที่สุด หลีกเลี่ยงการสูดดมควันไฟ
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
  • ใช้ผ้าชุบน้ำปิดปากและจมูก หากจำเป็นต้องเดินผ่านบริเวณควันไฟ
  • หากติดอยู่ในพื้นที่ไฟล้อมรอบ ให้หาที่ปลอดภัย เช่น แม่น้ำ บ่อน้ำ หรือพื้นที่โล่งไม่มีต้นไม้ เชื้อเพลิง
  • อย่าพยายามดับไฟด้วยตัวเอง หากไม่มีความชำนาญหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสม

แนวทางปฏิบัติหลังเกิดไฟป่า

  • อย่าเพิ่งเข้าไปในพื้นที่ที่ถูกไฟไหม้ทันที จนกว่าเจ้าหน้าที่จะอนุญาต
  • สำรวจความเสียหายของทรัพย์สินอย่างระมัดระวัง และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเถ้าถ่าน หรือสิ่งที่ถูกเผาไหม้โดยตรง เพื่อป้องกันสารพิษที่อาจตกค้าง
  • ร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ในการฟื้นฟูป่าไม้และพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย
  • เฝ้าระวังโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก

5. ภัยแล้ง

ภัยแล้ง (Drought) คือ ภัยธรรมชาติที่เกิดจากสภาพอากาศแห้งแล้ง ฝนตกน้อยกว่าปกติเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี ทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง อ่างเก็บน้ำ และบ่อน้ำใต้ดิน มีปริมาณน้ำลดลงอย่างมากจนไม่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน การเกษตรกรรม อุตสาหกรรม รวมถึงระบบนิเวศโดยรอบ ภัยแล้งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณที่มีฝนตกน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว หรือพื้นที่ที่การบริหารจัดการน้ำยังไม่ดีพอ

สาเหตุของการเกิดภัยแล้ง

ภัยแล้งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น

  • ฝนทิ้งช่วงนานกว่าปกติ เนื่องจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño)
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนและการกระจายตัวของฝนผิดปกติ
  • การตัดไม้ทำลายป่า ส่งผลให้ป่าที่เป็นแหล่งต้นน้ำเสื่อมโทรม ไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ดีเท่าที่ควร
  • การใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง หรือขาดการบริหารจัดการน้ำที่ดี ทั้งในระดับประเทศและชุมชน

ผลกระทบจากภัยแล้ง

1. ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพ

  • ขาดแคลนน้ำดื่มและน้ำใช้ ทำให้สุขอนามัยส่วนบุคคลแย่ลง
  • เกิดโรคระบาดจากการใช้น้ำไม่สะอาด เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคผิวหนัง โรคทางเดินอาหาร
  • ความเครียด วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าจากปัญหาการดำรงชีพ รายได้ลดลงจากการเกษตรไม่ได้ผลผลิต
  • ภาวะขาดสารอาหารจากการขาดแคลนอาหาร เนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรลดลง

2. ผลกระทบต่อทรัพย์สิน

  • พื้นที่เกษตรกรรมและปศุสัตว์เสียหาย พืชผลยืนต้นแห้งตาย ปศุสัตว์ล้มตายจากการขาดน้ำและอาหาร
  • ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรเสียหาย หรือสูญเสียมูลค่า เช่น เครื่องมือการเกษตรที่ไม่ได้ใช้งาน
  • อาคารบ้านเรือนแตกร้าวเสียหาย จากการที่พื้นดินแห้งแล้งแตกระแหง ทรุดตัว

3. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

  • ผลผลิตทางการเกษตรลดลง ส่งผลให้เกษตรกรขาดรายได้และเกิดภาระหนี้สินสูง
  • ราคาอาหารและสินค้าเกษตรสูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนผลผลิต
  • งบประมาณภาครัฐถูกนำไปใช้เพื่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวนมาก ส่งผลต่องบประมาณประเทศ

4. ผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ

  • ปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ทำให้การดำเนินชีวิตของชุมชนลำบาก
  • ระบบไฟฟ้าขาดแคลน เนื่องจากเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไม่มีน้ำเพียงพอ
  • การขนส่งทางน้ำหยุดชะงัก เช่น เรือขนส่งสินค้าติดค้างในแม่น้ำที่แห้งขอด

5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมจากการขาดน้ำ สัตว์ป่าอพยพย้ายถิ่นฐาน หรือเสียชีวิตจากการขาดแคลนน้ำและอาหาร
  • ดินสูญเสียความอุดมสมบูรณ์และแตกระแหง เกิดปัญหาดินเสื่อมโทรม ดินเค็ม
  • ความสมดุลทางระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง สัตว์น้ำสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยอย่างถาวร

แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดภัยแล้ง

แนวทางปฏิบัติก่อนเกิดภัยแล้ง

  • สำรองน้ำสะอาดไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้ง ทั้งน้ำดื่มและน้ำใช้ โดยเก็บไว้ในภาชนะสะอาดปิดสนิท
  • ติดตามข่าวสารประกาศเตือนภัยแล้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อม
  • ปรับเปลี่ยนวิถีการเกษตร โดยเลือกปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยและทนแล้ง เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง หรือพืชไร่ชนิดอื่นๆ
  • สร้างแหล่งกักเก็บน้ำชุมชน เช่น บ่อน้ำ บ่อบาดาล หรืออ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในพื้นที่

แนวทางปฏิบัติขณะเกิดภัยแล้ง

  • ใช้น้ำอย่างประหยัดสูงสุด งดกิจกรรมที่สิ้นเปลืองน้ำ เช่น การล้างรถ การรดน้ำสนามหญ้า
  • นำน้ำที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำ เช่น น้ำล้างจาน น้ำซักผ้า มารดน้ำต้นไม้
  • ร่วมมือกับชุมชนในการแบ่งปันน้ำ และช่วยเหลือกันในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
  • แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันทีเมื่อมีปัญหาการขาดแคลนน้ำรุนแรง เพื่อรับความช่วยเหลือ

แนวทางปฏิบัติหลังเกิดภัยแล้ง

  • ฟื้นฟูแหล่งน้ำ เช่น ขุดลอกคลอง สระน้ำให้ลึกขึ้น เพื่อเก็บน้ำในฤดูฝนถัดไป
  • ปลูกป่าทดแทนและอนุรักษ์ป่าไม้ เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสียหาย และช่วยให้ระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
  • ส่งเสริมการทำเกษตรกรรมยั่งยืน เช่น การทำเกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ ที่มีการจัดการน้ำอย่างเหมาะสม
  • เฝ้าระวังสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล ป้องกันโรคระบาดที่เกิดจากการใช้น้ำไม่สะอาด และเข้าพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการเจ็บป่วยผิดปกติ

6. แผ่นดินไหว

แผ่นดินไหว คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของพื้นผิวโลก โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (Tectonic Plates) ซึ่งแผ่นเปลือกโลกเหล่านี้เคลื่อนตัวเข้าหากัน แยกออกจากกัน หรือเสียดสีกัน ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่พื้นผิวโลกและแพร่กระจายเป็นคลื่นแผ่นดินไหวในทุกทิศทาง การสั่นสะเทือนนี้มีขนาดความรุนแรงตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงรุนแรงมาก ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได้ เช่น อาคารถล่ม ถนนแตกร้าว ดินถล่ม หรืออาจก่อให้เกิดคลื่นสึนามิตามมาได้ในบางกรณี

สาเหตุของแผ่นดินไหว

สาเหตุหลักของแผ่นดินไหวแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. แผ่นดินไหวจากธรรมชาติ
    • การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก (สาเหตุหลัก)
    • การปะทุของภูเขาไฟที่รุนแรง
    • การพังทลายของโพรงใต้ดินขนาดใหญ่
  2. แผ่นดินไหวจากมนุษย์
    • การทำเหมืองแร่ใต้ดิน
    • การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่และการสะสมน้ำในอ่างเก็บน้ำมากเกินไป
    • การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดิน

ผลกระทบจากแผ่นดินไหว

1. ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพ

  • การบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการถูกสิ่งของตกใส่ หรืออาคารพังทลาย
  • ผลกระทบต่อจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD)
  • โรคที่ตามมาหลังเกิดแผ่นดินไหว เช่น โรคทางเดินหายใจจากฝุ่นและเศษวัสดุ โรคติดเชื้อจากแหล่งน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด

2. ผลกระทบต่อทรัพย์สิน

  • อาคารบ้านเรือน อาคารสูง คอนโดมิเนียม โรงพยาบาล โรงเรียน เสียหายหรือพังทลาย
  • ถนนหนทาง สะพาน ทางรถไฟแตกเสียหาย ทำให้การเดินทางถูกตัดขาด
  • ระบบสาธารณูปโภค เช่น ระบบน้ำ ระบบไฟฟ้า ระบบแก๊ส ถูกทำลายหรือหยุดชะงัก

3. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

  • ธุรกิจหยุดดำเนินกิจการ ส่งผลกระทบต่อรายได้และการจ้างงาน
  • งบประมาณประเทศถูกนำไปใช้ในการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาผู้ประสบภัยเป็นจำนวนมาก
  • เศรษฐกิจภาพรวมของพื้นที่เสียหายและฟื้นตัวยากในระยะยาว

4. ผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ

  • ระบบประปาและน้ำดื่มหยุดชะงัก
  • ระบบไฟฟ้าขัดข้องหรือเสียหาย ทำให้ขาดแคลนไฟฟ้า
  • ระบบสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ไม่สามารถใช้งานได้
  • การขนส่งสินค้าและการช่วยเหลือผู้ประสบภัยลำบาก

5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร เช่น ดินถล่ม การยุบตัวของดิน หรือแม่น้ำเปลี่ยนเส้นทาง
  • ระบบนิเวศเสียหาย สัตว์ป่าอพยพหรือเสียชีวิตจากแผ่นดินไหวและผลกระทบที่ตามมา
  • เกิดความเสี่ยงของมลพิษ เช่น สารเคมีรั่วไหลจากโรงงานอุตสาหกรรมที่เสียหาย

แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดแผ่นดินไหว

แนวทางปฏิบัติก่อนเกิดแผ่นดินไหว

  • เตรียมแผนอพยพและจุดรวมพลที่ปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน
  • ตรวจสอบและปรับปรุงความแข็งแรงของบ้าน อาคาร และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ให้มีความปลอดภัย
  • ยึดติดเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และของหนักๆ ให้แน่นหนา
  • เตรียมอุปกรณ์จำเป็น เช่น อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค วิทยุ ไฟฉาย และแบตเตอรี่สำรอง

แนวทางปฏิบัติขณะเกิดแผ่นดินไหว

  • ตั้งสติให้ดี ไม่ตื่นตระหนก และรีบปฏิบัติตามขั้นตอนที่ปลอดภัย
  • หากอยู่ในอาคาร ให้อยู่ใต้โต๊ะที่แข็งแรง หรือบริเวณเสาหลักของอาคาร ปกป้องศีรษะและลำคอไว้
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ประตู หน้าต่าง กระจก และสิ่งของที่อาจตกใส่ได้
  • ไม่ควรรีบวิ่งออกจากอาคารทันทีขณะเกิดแผ่นดินไหว เพราะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากสิ่งของตกใส่
  • หากอยู่กลางแจ้ง ให้อยู่ในที่โล่งแจ้ง ห่างจากต้นไม้ อาคาร เสาไฟฟ้า และสายไฟ

แนวทางปฏิบัติหลังเกิดแผ่นดินไหว

  • ตรวจสอบความเสียหายของตนเองและคนรอบข้าง ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างระมัดระวัง
  • รีบออกจากอาคารหากพบความเสียหายรุนแรง และไปยังพื้นที่โล่งที่ปลอดภัย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนเด็ดขาด
  • ตรวจสอบสายแก๊ส ระบบไฟฟ้าและน้ำประปา หากพบความผิดปกติให้รีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
  • ติดตามข่าวสารจากวิทยุ โทรทัศน์ หรือช่องทางสื่อสารของหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด
  • ระวังอาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) หรือแรงสั่นสะเทือนที่ตามมาหลังเกิดแผ่นดินไหว

7. แผ่นดินถล่ม

แผ่นดินถล่ม หมายถึง ภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของดิน หิน หรือเศษวัสดุต่างๆ จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยส่วนมากมักเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ลาดชัน ภูเขา หุบเขา หรือพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำ ซึ่งการเคลื่อนตัวของดินหรือหินนี้ อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น ฝนตกหนักติดต่อกันนานหลายวัน แผ่นดินไหว หรืออาจเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การก่อสร้างถนนหรืออาคารในพื้นที่ลาดชันโดยไม่มีระบบป้องกันที่เหมาะสม ส่งผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อมได้

สาเหตุหลักของแผ่นดินถล่ม

สาเหตุที่สำคัญของแผ่นดินถล่ม ได้แก่

  • ฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ดินอิ่มตัวด้วยน้ำ ดินเกิดการอ่อนตัวและไม่สามารถยึดเกาะกันได้ดี จึงเคลื่อนที่ลงมาตามแรงโน้มถ่วง
  • แผ่นดินไหว แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ทำให้ดินที่อยู่บนพื้นที่ลาดชันสูญเสียเสถียรภาพและเคลื่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็ว
  • การตัดไม้ทำลายป่า ป่าที่สมบูรณ์มีรากไม้ช่วยยึดหน้าดิน หากป่าถูกทำลาย รากไม้หายไป ดินจะขาดความมั่นคงและเสี่ยงต่อการถล่มมากขึ้น
  • การก่อสร้างที่ไม่มีมาตรฐาน เช่น การสร้างถนนหรืออาคารในพื้นที่ลาดชันโดยไม่มีการทำกำแพงหรือแนวป้องกันดินถล่มที่ดีพอ

ผลกระทบจากแผ่นดินถล่ม

1. ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพ

  • บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการถูกดิน หิน หรือสิ่งปลูกสร้างถล่มทับ
  • ปัญหาสุขภาพจิต เช่น เครียด ซึมเศร้า หรือวิตกกังวลจากการสูญเสียคนในครอบครัวและทรัพย์สิน
  • การเจ็บป่วยจากการใช้น้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อนหลังเกิดแผ่นดินถล่ม

2. ผลกระทบต่อทรัพย์สิน

  • บ้านเรือน อาคาร และสิ่งปลูกสร้างถูกดินถล่มทับพังเสียหายหรือถูกทำลายจนหมด
  • ถนน สะพาน ทางรถไฟเสียหาย ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราวหรือถาวร
  • พื้นที่การเกษตรถูกทำลาย พืชผลทางการเกษตรเสียหาย หรือปศุสัตว์สูญหาย

3. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

  • การขนส่งสินค้าและการเดินทางหยุดชะงัก ส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและประเทศ
  • เกษตรกรขาดรายได้จากผลผลิตที่เสียหายจากดินถล่ม
  • งบประมาณถูกนำไปใช้ฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก

4. ผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ

  • ระบบไฟฟ้าและประปาถูกทำลายหรือเสียหาย ทำให้ขาดแคลนไฟฟ้าและน้ำใช้
  • ระบบสื่อสาร เช่น โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ขาดตอนหรือใช้งานไม่ได้
  • ระบบขนส่งและเส้นทางคมนาคมถูกปิดกั้นหรือถูกทำลายทั้งหมด

5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • ระบบนิเวศเสียหาย พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลาย เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศอย่างถาวร
  • สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงสูญเสียที่อยู่อาศัย เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ
  • แหล่งน้ำธรรมชาติได้รับผลกระทบ ดินโคลนปิดกั้นลำน้ำ ทำให้น้ำท่วมขังบริเวณกว้าง หรือเกิดปัญหาน้ำเน่าเสียในเวลาต่อมา

แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดแผ่นดินถล่ม

แนวทางปฏิบัติก่อนเกิดแผ่นดินถล่ม

  • ติดตามข่าวสารการเตือนภัยจากหน่วยงานรัฐ เช่น กรมทรัพยากรธรณี กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สังเกตสัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติ เช่น รอยแตกของดิน น้ำขุ่นผิดปกติ หรือการเคลื่อนตัวเล็กๆ ของดินบนเนินเขา
  • หลีกเลี่ยงการก่อสร้างบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่เสี่ยงภัย เช่น บริเวณเนินเขาลาดชัน
  • เตรียมแผนอพยพที่ชัดเจน และจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นไว้ให้พร้อม เช่น น้ำดื่ม ยารักษาโรค และอาหารแห้ง

แนวทางปฏิบัติขณะเกิดแผ่นดินถล่ม

  • ตั้งสติให้ดี รีบหนีออกจากพื้นที่ที่เกิดแผ่นดินถล่มโดยเร็วที่สุด และไปอยู่ในพื้นที่สูงหรือที่ปลอดภัย
  • ไม่ควรเข้าใกล้อาคารหรือบ้านเรือนที่อาจพังถล่มลงมา
  • หากไม่สามารถหลบหนีได้ทัน ให้หาที่หลบใต้โต๊ะหรือสิ่งของที่แข็งแรง และปกป้องศีรษะไว้เสมอ
  • หากอยู่กลางแจ้ง หลีกเลี่ยงการอยู่ใต้ต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า ควรรีบหนีไปอยู่ในพื้นที่โล่งและปลอดภัยที่สุด

แนวทางปฏิบัติหลังเกิดแผ่นดินถล่ม

  • อย่าเพิ่งเข้าไปในพื้นที่ที่มีดินถล่มจนกว่าเจ้าหน้าที่จะอนุญาต
  • สำรวจความเสียหายของบ้านเรือนด้วยความระมัดระวัง ระวังอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่ยังไม่มั่นคง
  • แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันทีหากพบผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรง
  • เฝ้าระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นตามมา เช่น น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก หรือแผ่นดินถล่มซ้ำ
  • เข้าร่วมฟื้นฟูพื้นที่ที่เสียหายร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่างๆ